เงินบาทพลิกอ่อนค่า ขณะที่หุ้นไทยร่วงลงจากความกังวลต่อการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า สถานการณ์โควิด-19 ทิศทางเงินลงทุนของต่างชาติ ผลประกอบการไตรมาส 4/64 ของบจ.ไทย รวมถึงการประชุมโอเปกพลัส (2 ก.พ.)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง โดยเงินบาทอ่อนค่า สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ได้รับแรงหนุน ทั้งในช่วงก่อนและหลังการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้แม้ผลการประชุมเฟดในรอบที่ผ่านมาจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ตามเดิมตามที่ตลาดคาด แต่ถ้อยแถลงและท่าทีของประธานเฟดภายหลังการประชุมออกมาในเชิงคุมเข้มและกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อมากขึ้น ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 4 ครั้งในปีนี้ พร้อมกับเริ่มลดงบดุลเร็วกว่าที่คาดเพื่อสกัดแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ (28 ม.ค.) เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.40 เทียบกับระดับ 32.96 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (21 ม.ค.)
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (31 ม.ค.-4 ก.พ.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจการเงินไทยเดือนธ.ค. ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมง ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนม.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลจีดีพีไตรมาส 4/64 ของยูโรโซน และดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน
ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,639.51 จุด ลดลง 0.80% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 83,744.56 ล้านบาท ลดลง 7.94% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 6.39% มาปิดที่ 619.58 จุด
หุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ โดยเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด และสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ในประเด็นยูเครน
ทั้งนี้หุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องในช่วงกลางสัปดาห์หลังทราบผลการประชุมเฟด ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดอาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยส่งสัญญาณไว้ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น โดยหุ้นกลุ่มที่เผชิญแรงขายในระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี พลังงานและการเงิน อย่างไรก็ดี หุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ หลังตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (31 ม.ค. – 4 ก.พ. 65) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,630 และ 1,620 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,645 และ 1,655 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ผลประกอบการไตรมาส 4/64 ของบจ.ไทย รวมถึงการประชุมโอเปกพลัส (2 ก.พ.)
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูล PMI การจ้างงานภาคเอกชน การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนม.ค ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB จีดีพีไตรมาส 4/64 ข้อมูล PMI และดัชนีราคาผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนม.ค. ของยูโรโซน รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. 64 ของญี่ปุ่น
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance